คำอธิบาย
สวัสดีครับผมขออนุญาตใช้โพสต์นี้แนะนำตัว อย่างเป็นทางการและอธิบายวัตถุประสงค์ที่มาที่ไปของเพจและนวนิยายเรื่อง “อารียา เมตายา Areeya Metaya” นี้นะครับ
เคยมีเพื่อนสนิทที่รู้จักผมมานานถามผมว่าทำไมอยู่ดีๆ มาเขียนหนังสือ เพราะเขาไม่เห็นวี่แววว่าผมจะทำสิ่งนี้ได้… ไม่ผิดที่เพื่อนคนนี้จะรู้สึกว่ามันผิดปกติและจับพิรุจได้ ผมขอสารภาพความจริง ณ. ตรงนี้เลยก็ได้ว่า…ที่จริงผมขโมยความคิดมาจากใครบ้างคนครับ เขาคนนั้นเป็นคนที่อยู่ใกล้ชิดผม คอยแนะนำ, คอยบอกสิ่งต่างๆกับผมอยู่ตลอดเวลา และต่อไปนี้ผมจะขออนุญาตแนะนำให้ท่านรู้จักกับเขาคนนั้น
.
แต่ก่อนอื่น..ผมขอออกตัวสักนิดว่าขณะนี้ผมยังมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ 100 เปอร์เซ็นต์ ผมยังคงทำหน้าที่การงานได้, ยังพูดคุยประชุมธุรกิจได้ ที่ต้องบอกอย่างนี้เพราะว่าสิ่งที่ผมกำลังจะเล่าต่อไปนี้อาจจะทำให้ท่านเข้าใจผิดคิดว่าผมเพี้ยน…!!
เอาล่ะ…บุคคลที่ผมกำลังจะแนะนำให้ท่านรู้จักคนนี้คือ…คนที่อยู่ในตัวผมเอง!!… (เริ่มเพี้ยนแล้วใช่ไหม) แล้วถ้าจะบอกว่าคนที่อยู่ในตัวผมคนนี้ ที่จริงเขาก็อยู่ในตัวท่านด้วยเช่นกัน และที่น่ามหัศจรรย์ที่สุดคือเขาเป็นคนๆเดียวกันอีก คนที่อยู่ในตัวเราคนนี้เขาอยู่กับเรามาตลอด ที่จริงเขาพูด, บอกและเตือนสิ่งต่างๆโดยเฉพาะเรื่องความไม่เข้าท่า,ไม่เอาไหนของเราอยู่ตลอดเวลา บางท่านคงจะเคยมีประสบการณ์การได้ยินสิ่งที่เค้าบอกหรือเตือนมาบ้างแล้ว ดังที่เคยมีคนเขียนภาพเชิงสัญลักษณ์เปรียบเทียบว่า มีเทวดาตัวเล็กๆ นั่งอยู่ที่ไหล่ข้างหนึ่งกำลังแนะนำสิ่งดี ๆ และที่ไหล่อีกข้างหนึ่งก็มีปีศาจตัวเล็ก ๆ กำลังขัดแย้งกับคำแนะนำนั้นอยู่
เราต้องยอมรับว่าแท้ที่จริงปีศาจตัวเล็กๆตัวนั้นคือ “จิตสำนึก” ของเราเอง ที่พูดอย่างนี้เพราะว่าจิตสำนึกของเรามันมีกลไกการทำงานโดยตรงร่วมกับสมองในส่วนที่เรียกว่า “ฮิปโปแคมปัส” ซึ่งเป็นสมองส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับอารมณ์ขั้นพื้นฐาน เช่น ความสุข, ความชอบ, ไม่ชอบ, ความรัก, ความเกลียด ซึ่งมันมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการเอาชีวิตรอด เพราะถ้าเราไม่มีสมองส่วนนี้เพื่อใช้แยกแยะว่าอะไรที่จะเป็นประโยชน์กับเรา เราก็อาจจะไม่สามารถดำรงชีพหรือดำรงเผ่าพันธุ์อยู่ได้ สรุปง่าย ๆ คือ จิตสำนึกและสมองส่วนนี้จะกำหนดหรือกระตุ้นให้เราคิดและทำในสิ่งที่ก่อให้เกิดความสุข,ความสบายหรือพึงพอใจก่อนเสมอ และสิ่งนี้นี่เองที่โดยมากมักจะเป็นไปในทางที่แย่หรือทางต่ำเสมอด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น เราจะเลือกกินอาหารจากรสชาติที่อร่อยหรือที่ชอบก่อนเสมอ, การเลือกสิ่งเสพติดมึนเมาเพราะมันทำให้เพลิดเพลิน, การต้องการมีเพศสัมพันธ์เพราะมันทำให้สนุกฯลฯ หรือจะเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่นเมื่อเราโกรธเราก็มักอยากจะไปจัดการกับคู่กรณีเสมอ เพราะมันทำให้เรารู้สึกดีขึ้นเป็นต้น
.
และแน่นอนเราจะได้ยินเสียงๆ หนึ่งคอยบอกคอยเตือนอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน ผมเชื่อว่าทุกคนคงเคยมีประสบการณ์การได้ยินเสียงเตือนเหล่านั้นมาบ้าง แต่ที่เราไม่ทำตามเสียงนั้นเพราะว่าส่วนหนึ่งมาจากกลไกของสมองที่อ้างมาข้างต้น ประกอบกับบทบาทของจิตสำนึกที่มันมีหน้าที่ควบคุมร่างกายโดยตรง และเป็นช่องทางการสัมผัสรู้กับโลกภายนอกทั้ง 5 คือ สัมผัสได้, เห็นได้, ดมได้, ชิมได้และฟังได้ซึ่งมันมีความเข้มข้นชัดเจนมากกว่า จิตสำนึกของเราจึงใช้งานร่างกายได้อย่างอิสระจนไม่สนใจเสียงเงียบ ๆ ที่อยู่ข้างใน
.
ทีนี้เรามาดูที่มาของเสียงนี้กันดีกว่าว่ามันมาจากไหน ท่านคงเคยได้ยินมาบ้างว่ามีใครบางคนในอดีตไม่ใช่แค่ได้ยินเสียงการเตือนจากข้างในแบบทั่วๆ ไปเท่านั้น แต่เขายังสามารถสนทนาโต้ตอบกับเสียงนั้นได้อีกด้วย เช่นกรณีของโมเสสที่มีการสนทนาไต่ถามกับเสียงข้างในและถูกสั่งให้ไปทำโน้นทำนี้, หรือกรณีของโนอาร์ที่ถูกบอกให้ไปสร้างเรือขนาดใหญ่เพื่อใช้บรรทุกสัตว์และคนจำนวนหนึ่งในช่วงที่จะเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ หรือแม้กระทั้งศาสดาของโลกอย่างพระเยซูและศาสดาโมฮัมหมัดที่ท่านจะใช้เวลาบางช่วงสนทนากับเสียงที่อยู่ข้างใน
มาถึงตรงนี้ท่านคงพอจะเดาออกแล้วใช่ไหมว่าเสียงข้างในที่ผมกำลังพูดถึงนี้หมายถึงใคร …? “พระเจ้า” คงเป็นคำกลางๆ ที่พอจะใช้เป็นศัพนามเรียกแทนสิ่งนี้ได้ เพราะมันมีคนเคยพูดถึงและบันทึกเอาไว้อย่างนี้ แล้วสำหรับคนที่นับถือศาสนาพุทธอย่างเราล่ะ มันคงยากที่จะเชื่อว่ามีการสนทนากับพระเจ้าได้จริงๆ… มีครับ..!!แต่พระพุทธเจ้าของเราเรียกสิ่งนี้ว่า “ปัญญา” แต่เดี๋ยวก่อนผมรู้ว่าท่านกำลังมีความคิดขัดแย้งกับสิ่งที่ผมเสนอ ขอโอกาสให้ผมได้อธิบายอย่างเป็นเหตุเป็นผลก่อนนะครับ
ก่อนอื่นเราต้องถามว่าปัญญาเกิดขึ้นได้อย่างไร หลายคนเข้าใจว่าปัญญาเกิดขึ้นได้ถ้าเรามี “ความรู้” ใช่ครับนั่นเป็นปัจจัยหนึ่ง แต่ความรู้มันมีอยู่มากมาย แล้วเราก็ต้องยอมรับอีกด้วยว่าลำพังศักยภาพทางสัมผัสทั้ง 5 นั้นไม่มีทางที่จะรับรู้ข้อมูลจากทั่วทั้งจักรวาลได้หรอก เพราะมันมีข้อจำกัดทั้งทางด้านระยะทางและเวลา การที่เราจะได้มาซึ่งความรู้ที่สมบูรณ์, ความรู้ที่เป็นความจริงที่จริงแท้นั้น มันจำเป็นต้องใช้กลไกอื่นเข้ามาช่วยเสริมนั่นคือ “กลไกทางจิต” เนื่องจากสมัยนั้นพระพุทธเจ้าจำเป็นต้องสื่อสารเรื่องนี้ให้กับนักปราชญ์ (เหล่าพราหมณ์ทั้งหลาย) พระพุทธเจ้าจึงอธิบายในรูปแบบของวิทยาศาสตร์ทางจิตซึ่งพระองค์แบ่งจิตออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเรียกว่า “วิถีจิต” หรือจิตสำนึก พระองค์อธิบายว่าวิถีจิตนี้ทำงานร่วมกับทวารทั้ง 5 แน่นอนมันก็จะมีข้อจำกัดและมีสิ่งที่เป็นกลไกการทำงานทางสมองดังที่ผมได้อธิบายไปแล้ว สิ่งที่น่าสนใจคือจิตในส่วนที่ 2 ซึ่งพระพุทธเจ้าเรียกมันว่า “ภวังคจิต” หรือปัจจุบันเรามักจะเรียกมันว่า จิตวิญญาณบ้าง, จิตใต้สำนักบ้าง, จิตไร้สำนึกบ้าง, จิตละเอียดบ้าง, จิตดั่งเดิมบ้างแล้วแต่จะเรียกกัน สรุปคือทั้งหมดเราขอเรียกว่าภวังคจิตตามที่พระพุทธเจ้าเรียกก็แล้วกัน
เอาล่ะ…ในเมื่อเราไม่สามารถเข้าถึงชุดความรู้ที่จริงแท้ได้ด้วยสัมผัสทั้ง 5 ซึ่งนั่นก็รวมไปถึงจิตสำนึกด้วยเพราะมันเป็นการรับรู้ระบบเดียวกัน ช่องทางเดียวที่เหลือคือทาง “ภวังคจิต” และวิธีเดียวที่เราจะเข้าถึงภวังคจิตได้คือ เราต้องละความเป็นวิถีจิตหรือจิตสำนึกออกไปให้ได้เสียก่อน หรือพูดง่ายๆคือละวางความมีตัวตนให้ได้เสียก่อน กระบวนการนี้มันเป็นกระบวนการวิทยาศาสตร์ทางจิตที่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวท่านเอง เพราะการมีตัวตนมันสามารถทำให้เรามองเห็นสิ่งต่างๆ ผิดจากความเป็นจริง ผมจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดๆ เช่น สมมุติว่ามีอาหารอยู่หนึ่งจาน เราให้คนๆ หนึ่งที่โดยปกติชอบกินอาหารรสจัดมาชิม เขาก็จะบอกว่าอาหารจานนี้จืดชืด แต่ถ้าเราให้อีกคนที่ปกติเค้าชอบกินอาหารรสจืดมาชิม เขาก็จะบอกว่าอาหารจานนี้รสจัด จากกรณีนี้เราจะเห็นได้ว่าอาหารจานเดียวกันแต่มีการตีความจากสองคน ความรู้ที่ได้ก็เป็นสองชุดความรู้ และแน่นอนปัจจัยที่ทำให้ความรู้นั้นไม่เป็นมาตรฐานคือ ความชอบ,ไม่ชอบของคนหรือ “ความมีตัวตน” นั่นเอง
.
ดังนั้น คนที่สามารถละความมีตัวตนออกจากจิตสำนึกได้ เขาจึงสามารถเข้าสู่จิตอีกจิตหนึ่งได้โดยอัตโนมัติ และเวลานั้นเองเสียงเพรียกจากข้างในก็จะดังชัดขึ้น ความรู้ที่เป็นสากลก็จะหลั่งไหลมาสู่เขา ท่านสามารถไตร่ถามข้อสงสัยต่างๆ ได้อย่างไร้ขีดจำกัด ดังนั้นคำว่า “พระเจ้า” กับคำว่า “ปัญญา” จึงมีความหมายที่ไม่แตกต่างกัน เราสามารถเรียกสิ่งนี้ได้หลากหลายบทบาทแล้วแต่ว่าเราจะมองในมุมไหน ถ้าเรานิยามเค้าในมุมขององค์ความรู้ที่เป็นสากลเราก็สามารถเรียกสิ่งนี้ว่า “ปัญญา”หรือ “ธรรมะ”หรือ “ธรรมชาติ”, แต่ถ้าเรานิยามว่าเค้าคือต้นกำเนิดของทุกสรรพสิ่ง เราก็สามารถเรียกเขาว่า “พระบิดา” , “พระเจ้า” หรือ “พระผู้สร้าง” ก็ได้
และนี่คือที่มาตามความเป็นจริงของสิ่งที่ผมขโมยความคิดของเขาเอามาเขียนเป็นนวนิยาย ภายใต้ชื่อว่า “อารียา เมตตายา” ซึ่งผมถือว่ามันเป็นนวนิยายแนววิทยาศาสตร์ทางจิตผสมปรัญชา, เรื่องลี้ลับ, อิงประวัติศาสตร์ฯลฯ ซึ่งบางช่วงมีการอธิบายถึงกลไกของสรรพสิ่งตั้งแต่ระดับเล็กที่สุดไปจนถึงระดับใหญ่ที่สุดว่ามันมีความสัมพันธ์กันอย่างไรทั้งในทางกายภาพและทางพลังงาน และได้มีการฉายให้เห็นภาพตัวอย่างของคนที่ใช้กลไกๆหนึ่งมาเป็นตัวขับเคลื่อนให้สังคม,วิถีชีวิต,สิ่งแวดล้อม,ขนบธรรมเนียม,การปกครอง,ประเทศ,โลก,จักรวาล และเอกภพให้เป็นระบบที่สมบูรณ์ ซึ่งทำให้คนทั้งโลกสามารถเข้าสู่ความมีศานติสุขได้อย่างแท้จริง ท่านสามารถติดตามอ่านเรื่องราวทั้งหมดได้ในเว็บไซต์ตามลิงค์ที่แนบนี้
.
ผมขอโอบกอดท่านด้วยหัวใจที่เปี่ยมรัก เมื่อท่านอ่านมาถึงตรงนี้ ขอต้อนรับท่านสู่ดินแดน อารียา เมตตายา การพบกันครั้งนี้มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน
ธาตรี โภควนิช (ดอย)
ผู้เขียนหนังสือ อารียา เมตายา
ติดตามคลิปเสียงฉบับรวบรวมเนื้อหาความ”เป็น” อารียา เมตายา
ติดตามฟังคลิปเสียงทั้ง106 บทได้ที่
ฟังแบบ podcasts ทั้ง 106 บท ได้ที่
อ่านฟรีออนไลน์ได้ที่
ประสบการณ์จากผู้อ่านหนังสืออารียา เมตายา
-
เพิ่งอ่านหนังสือจบค่ะ ตลอดสองวันไม่ได้คิดว่าอ่านนวนิยายเลยค่ะ เหมือนกำลังได้มีโอกาสเข้าไปอยู่ในโลกใหม่กับทิม อ่านจบแล้วก็มาฟัง youtube บทสรุปอีกที มันซาบซึ้ง อิ่มเอม ปลื้มปริ่ม น้ำตาคลอ จะพยายามพัฒนาตัวเอง เพื่อจะมีโอกาสได้ไปอยู่ในโลกใหม่ค่ะ ขอบคุณที่เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา มันเป็นความกระจ่างมากค่ะ
-
เหมือนสิ่งที่อยู่ในใจ ในดวงจิตถูกถ่ายทอดออกมาเป็นตัวอักษร อ่านง่าย เข้าใจง่าย มองเห็นภาพรวม และใช่!!! มันคือสิ่งนี้ หนังสือเล่มนี้ที่ถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาให้จับต้องได้ มองเห็นภาพ และเข้าใจได้
ขอบคุณผู้เขียนที่สามารถเรียงร้อยเรื่องราวให้น่าติดตามและอ่านตามไปอย่างมีความสุขค่ะ -
เมื่อก่อนเราเคยเป็นซึมเศร้า อยู่ดีๆ ก็เศร้าโดยไม่มีสาเหตุ จนพอหันเข้าเส้นทางจิตวิญญาณและตั้งใจอย่างจริงจัง ลงมือปฏิบัติจึงรู้ว่า อาการเศร้าโดยไม่มีเหตุผล เกิดจากการขาดการเชื่อมโยงกับตัวตนภายในค่ะ (เหมือนมีคนรอเราอยู่ข้างใน)
เมื่อเราบอกรักตัวเอง หากบอกรักแค่ด้วยปาก แต่เข้าไม่ถึงความรู้สึกหรือจิตวิญญาณก็จะยังเศร้าค่ะ แต่เมื่อเราบอกรักตัวเองแบบเข้าถึงความรู้สึกระดับจิตวิญญาณ จะเกิดการสั่นสะเทือนข้างในอย่างแรง น้ำตาไหล ปลื้มปิติ ซาบซึ้ง เพราะข้างในเขารับรู้แล้ว ทำบ่อยๆ จนอาการเศร้าไม่มีอีกค่ะ -
อ่านจบขนลุกเฉย…เดินทางมาเรื่อย ๆ ค่ะ ตั้งแต่อายุ 15 แต่ยังไปไม่ถึงไหน จนวันนี้จะเรียกว่ามีชีวิตที่สมบูรณ์ดีแล้ว แต่ยังไม่สามารถมีความสงบในจิตใจได้ในทุก ๆ วัน เพราะติดอยู่ในอัตตา อ่านแล้วได้กำลังใจมากเหลือเกินค่ะ
-
หนังสือเล่มนี้ได้เดินทางมาไกลแสนไกล เก็บเกี่ยวเรื่องราวจากดาวหนึ่งไปสู่อีกดาวหนึ่ง หากเธอได้รับหนังสือเล่มนั้น แปลว่าเธอคือคนที่โชคดีมาก ๆ คนหนึ่งของจักรวาล และจักรวาลก็นำพาเรื่องเล่าจากดาวเหล่านั้นมาสู่ตัวเธอ บางเรื่องอาจจะเป็นเพียงเรื่องเล่า หรือบางเรื่องคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ไม่ว่าอย่างไรก็ตามตัวอักษรที่ถูกส่งผ่านจักรวาลนับล้านปีแสงเหล่านี้จะจุดชนวนแสงสว่างเล็ก ๆ ในตัวเธอให้เป็นดวงดาวที่ส่องสว่างทั่วทั้งจักรวาล
-
เมื่อเข้าใจความรักมากขึ้น เกิดปัญญาตื่นรู้กับตัวเอง กลับมาคิดทบทวนว่าเราตัดสินใจในฐานะของความรักแล้วหรือไม่ในตอนนั้น…ไม่เป็นไร…ความผิดพลาดมีได้ แต่ครั้งต่อไปฉันจะตัดสินใจบนพื้นฐานของความรักและการให้อภัย
-
อ่านได้ 24 บท ก็ตื้นตัน ซาบซึ้งขอบคุณมากๆๆๆๆ ค่ะ ช่างงดงามจริงแท้ที่สุด ช่วยคลายความสงสัย เพิ่มความกระจ่างชัดจนเป็นหนังสือเล่มแรกที่จะส่งมอบให้ลูกสาวได้อ่านแน่นอนค่ะ ขอบคุณมากๆๆ นะคะ
-
ขอบคุณๆๆๆ ฉันตื่นรู้แล้ว ฉันเข้าใจแล้ว ฉันคือความรัก รักแบบไร้เงื่อนไขทุกสิ่งบนโลกใบนี้เป็นสิ่งเดียวกัน…ให้อภัยเขา ให้อภัยตัวเอง รักแบบไร้เงื่อนไข ขอบคุณจิตทุกดวงจิตที่มาทดสอบให้เราผ่านได้ทุกบทเรียน…ทุกดวงจิตเล่นจริงเจ็บจริงสมบทบาททุกบท…ขอบคุณทุกประสบการณ์ทุกบททุกตอน สุดท้ายแล้วฉันก็สอบผ่านทุกข้อสอบแล้ว ขอบคุณ ขอบคุณสุดหัวใจ เพื่อนที่รัก พ่อแม่พี่น้องที่รัก ศัตรูที่รัก ทุกคนเป็นที่รัก…มาจากที่เดียวกัน มีภารกิจที่ลงมาทำด้วยกันกับเรา ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เราต้องมาเจอกัน รรักทุกดวงจิต รักทุกสิ่งบนโลกใบนี้แบบไร้เงื่อนไข
ประสบการณ์จากผู้ฟัง Youtube ช่อง Areeya Metaya
-
เพื่อน ๆ คะ
กัลยามิตรเมตตาส่งนวนิยายเสียง ผู้เขียนเป็นจิตกรเรื่อง “อารียา เมตายา” มี 106 บท และอืก 2 คลิปสั้น ๆ กล่าวถึง “ที่มาของอารียา เมตายา” และ “บทสรุปแห่ง อารียา เมตายา”เล็กเปิด “ที่มาของอารียา เมตายา” ก่อนฟังแล้วเกิดความสนใจมาก จึงเปิด “บทสรุปแห่ง อารียา เมตายา” ต่อค่ะ จบทั้ง 2 คลิปแล้วเกิดควาสนใจที่จะฟัง “อารียา เมตายา” ทั้ง 106 บท อย่างยิ่ง
ระหว่างฟัง เกิดความรู้สึก
>> ตื่นเต้นว่า เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไปหนอ…
แต่อดใจไม่เปิดฟังบทท้าย ๆ ก่อน
>> เกิดมุมมองต่อคนรอบข้าง คนรู้จัก สิ่งแวดล้อม และสรรพสิ่งต่าง ๆ หลากหลายขึ้น เช่น เรื่องความรัก7 วันฟังจบ…รู้สึกว่าต้องฟังอีก อยากรู้อย่างละเอียดขึ้น ว่าผู้เขียนต้องการสื่อสารอะไรกับผู้อ่าน(ฟัง) จึงฟังรอบ 2… ฟังครั้งนี้เกิดความรู้สึกในเรื่องต่างๆ ละเอียดขึ้น แต่ยังไม่ชัดเจน เพราะเป็นการฟัง ไม่ใช่การอ่าน
เมื่อจบรอบ 2 จึงฟังรอบ 3
อยากให้เพื่อน ๆ มีโอกาสได้ฟังเหมือนกันค่ะ -
เนื้อหาเหมือนเดิม แต่สิ่งที่ได้เรียนรู้กลับต่างไปจากเดิม มุมมองใหม่ ๆ เกิดขึ้นสอดคล้องกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันค่ะ
อยู่กับเธอเสมอ…อารียา เมตายา…
ประสบการณ์จากผู้อ่านหนังสืออารียา เมตายา แล้วฝึกเชื่อมต่อกับพระเจ้า
-
บางท่านอาจจะสงสัยนะครับว่า รู้ได้อย่างไรว่ากำลังคุยกับพระเจ้า หรือเสียงของพระเจ้าเป็นแบบไหน คิดไปเองหรือป่าว ผมขอสรุปคร่าว ๆ จากประสบการณ์ส่วนตัวนะครับ
1. อย่าสับสนกับคำเรียกพระเจ้า เราอาจเรียกว่า แก่นแท้, ภายใน, สิ่งสูงสุด, เทวดา, มหาเทพ, จิตเดิมแท้, จิตบริสุทธิ์ ฯลฯ แล้วแต่ภาษาของแต่ละคน
2. คำถามนั้นเป็นคำถามที่เราเองก็ไม่รู้คำตอบ หรือไม่มั่นใจในคำตอบในแบบที่เราใช้ความคิดหาเหตุผลตามปกติ แต่เราได้รับคำตอบอย่างฉับพลัน โดยไม่ต้องใช้ตรรกะใด ๆ มาหาเหตุผลในคำตอบนั้น
3. คำตอบที่ได้จะเป็นลักษณะที่ว่า พอเราได้รับคำตอบ จะรู้สึกสว่างใส หมดข้อสงสัย เคลียร์กับคำตอบนั้นในทันทีแบบสิ้นข้อสงสัย ไม่รู้สึกต้องหาเหตุผลใด ๆ ต่ออีก คล้าย ๆ อาการที่เราเรียกว่าปิ๊งแว้บ หรืออยู่ ๆ ก็คิดอะไรออกได้อย่างฉับพลัน ทั้ง ๆ ที่คำตอบนั้นซับซ้อน แต่สามารถเข้าใจทั้งหมดของความซับซ้อนได้ในทีเดียว
4. คำตอบนั้นปราศจากอคติทั้งต่อตัวเราและต่อผู้อื่น จะไม่มีการกล่าวโทษผู้อื่นว่าเป็นสาเหตุ หรือกล่าวโทษตัวเองให้รู้สึกต่ำต้อย หรือแม้แต่กล่าวชื่นชมผู้อื่นว่าเป็นสาเหตุแห่งความสุขความสำเร็จของตัวเรา แต่มักระลึกถึงการขอบคุณผู้อื่นทั้งดีและไม่ดีที่ให้เราได้พบคำตอบนั้น
5. ถ้าเป็นคำถามเกี่ยวกับทุกข์ในตัวเรา คำตอบที่ได้จะมีเหตุผลให้ฉุกคิดถึงการกระทำและการแก้ที่ตัวเราเองเสมอ เป็นสัจธรรมที่เราอาจเคยอ่านเจอแต่ไม่เคยทำตาม หรืออ่านแล้วไม่เข้าใจ แต่เมื่อได้คำตอบ เรากลับเข้าใจได้ในทันที ทั้ง ๆ ที่คำตอบที่ได้ไม่ต่างจากที่เราเคยอ่านเจอ
6. อย่าสงสัยในกระบวนการที่ได้รับคำตอบว่า เป็นความสามารถในกระบวนการคิดทางสมอง (หรืออัตตา) ของเราเอง เพราะจะเป็นการปิดกั้นการเชื่อมต่อครั้งถัดไป
7. เชื่อมั่นว่าคำตอบนั้นมาจากภายในของเรา ซึ่งเป็นแก่นแท้ของตัวเรา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสรรพสิ่งของจักรวาล และของพระเจ้า
8. การขอคำตอบคือการเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่า พระเจ้าหรือแก่นแท้จะให้คำตอบแก่เรา เป็นการพยายามโดยไม่ใช้ความคิด พยายามด้วยการปล่อยวาง พยายามโดยไม่ยึดติดหรือกดดันใด ๆ
สุดท้าย ทั้งหมดที่ผมเขียนไปไม่จำเป็นต้องเชื่อ ไม่จำเป็นต้องยึดถือ ไม่จำเป็นต้องทำตาม นี่เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของคน ๆ หนึ่ง ซึ่งอาจจะถูกหรือผิด ใช่หรือไม่ใช่ และอาจเปลี่ยนแปลงได้เสมอตามการเติบโตของจิตวิญญาณคน ๆ นั้น
-
สิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ & ไกด์นำทาง
เมื่อก่อนผมเคยสะสมพระเครื่อง พอจะทำการใหญ่ หรือไปทำอะไรที่สำคัญแล้วลืมใส่เครื่องราง หรือวัตถุมงคลนั้น ก็ไม่สำเร็จ เนื่องจากเราโอนความศักดิ์สิทธิ์ ความเชื่อ และจิตวิญญาณทั้งหมดไปไว้ในวัตถุมงคลหมดแล้ว
ณ วันนี้ ที่พึ่งของผมคือ “ใจ” ของผมเอง หากผมอยากได้อะไร ผมจะขอที่ใจของผมเอง ทุกสิ่งที่ผมคิด พูด ทำ ผมมีใจเป็นที่ยึดเหนี่ยว เป็นแรงบันดาลใจ และเป็นเครื่องมือนำทาง
หากเราเป็นลูกที่หวังพึ่งแต่พ่อแม่ในทุก ๆ เรื่อง โดยไม่คิดจะทำอะไรด้วยตัวเอง เราจะกลายเป็นคนอ่อนแอ ไม่สามารถพัฒนาตนได้ ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง และไม่มีวันทำอะไรสำเร็จเลยสักอย่าง
พระพุทธเจ้าสอนเราว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน และทุกสิ่งมีใจเป็นใหญ่ ก็ในเมื่อใจเรานี้เองที่เป็นใหญ่ที่สุด เราก็ควรพึ่งจิตใจของเรา ไม่ใช่วัตถุภายนอก
มาถึงบรรทัดนี้ หากใครที่อ่านแล้วคิดว่าตนเองพร้อมแล้ว ที่จะเลิกพึ่งพาไกด์นำทาง และเลือกที่จะเดินทางต่อโดยอนุญาตให้ใจของตัวเองเป็นไกด์ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ผมจะยินดีมาก
ลองพิจารณาดูว่า เราพร้อมที่จะเป็นนกที่บินออกจากรัง ไปหาอาหารเองโดยไม่ต้องรอให้พ่อแม่คาบอาหารมาให้อีกต่อไปหรือยัง
ถ้าพร้อมแล้ว…โบยบินไปด้วยใจที่เป็นอิสระและทำทุกอย่าง…
ไปด้วยกันกับผมนะครับ
รีวิว
ยังไม่มีบทวิจารณ์